วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง
อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอแม่แตง อำเภอเชียงดาว อำเภอเวียงแห ง จังหวัดเชียงใหม่ และ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีสภาพป่าและธรรมชาติที่สมบูรณ์ ภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน เป็นป่าต้นน้ำ ลำธาร มีจุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยงามและจุดชมวิวที่สามารถชมบรรยากาศอันร่มรื่น โดยเฉพาะบริเวณห้วยน้ำดัง ที่มีชื่อว่าทะเลหมอกที่งดงามยิ่ง เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศไปเที่ยวชมความงาม เป็นจำนวนมาก 1,252.12 ตารางกิโลเมตร หรือ 782,575 ไร่ และได้จัดตั้งเป็น "อุทยานแห่งชาติห้วยนำดัง" เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2538 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 81

สภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาและภูเขาสูงที่สลับซับซ้อนทอดตัวยาวตามแนวเหนือ-ใต้และอยู่ในแนวเดียวกันกับเทือกเขาเชียงดาว ภูเขาต่าง ๆ ในพื้นที่ที่มีความสูงชันตั้งแต่ 500-1,962 เมตร จากระดับน้ำทะเล มีภูเขาที่สูงที่สุดคือ ดอยช้าง เป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีลำห้วยน้อยใหญ่มากมาย ได้แก่ ห้วยแม่เย็น ห้วยแม่ฮี้ ห้วยแม่ปิง ห้วยแม่จอกหลวง ห้วยน้ำดัง เป็นต้น รวมกันไหลลงสู่แม่น้ำปาย แม่น้ำปิง แม่น้ำแตง
ลักษณะภูมิอากาศ
ฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม - เดือนตุลาคม
ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - เดือนกุมภาพันธ์ จะมีอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 9 c
ฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม - เดือนเมษายน จะมีอุณหภูมิสูงสุดประมาณ 34 c
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
สภาพทางธรรมชาติยังคงความอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้เกิดสังคมพืชหลากหลายชนิด ประกอบด้วยป่าดิบชื้น ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณ ป่าสนเขา มีพรรณไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ไม้ตะเคียน ยาง จำปีป่า ยมหอม มะม่วงป่า ยมป่า เสลา ดงดำ แดง ประดู่ ตะแบก ตีนนก งิ้วป่า สนสองใบ ไม้ก่อต่าง ๆ เต็ง รัง เป็นต้น
ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของสภาพป่า จึงชุกชุมไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด ได้แก่ ช้างป่า กวาง หมี เก้ง เลียงผา หมูป่า เสือ ชะมด ลิง พังพอน เม่น ไก่ป่า ไก่ฟ้า และนกนานาชนิด ได้แก่ นกเปล้า นกแก้ว นกขุนทอง นกขมิ้น นกปรอท และ นกเหยี่ยว เป็นต้น
แหล่งท่องเที่ยว
• จุดชมวิวดอยช้าง อยู่บนดอยช้างขึ้นไปทางเหนือของห้วยน้ำดัง มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,962 เมตร สามารถมองเห็นสภาพธรรมชาติของทิวเขาอันสลับซับซ้อน ทะเลหมอกในตอนเช้าตรู่ได้ชัดเจน
• จุดชมวิวบริเวณห้วยน้ำดัง (ดอยกิ่วลม) เป็นที่ตั้งของหน่วยพัฒนาต้นน้ำที่ 2 (ห้วยน้ำดัง) เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากที่สุดและมีชื่อเสียงมากในด้านการท่องเที่ยว ที่จะชมทะเลหมอกในช่วงเช้าตรู่และเป็นที่รู้จักของชาวไทยและชาวต่างประเทศ เพื่อคอยชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกอันกว้างใหญ่ไพศาลในช่วงฤดูหนาว สภาพธรรมชาติอันสวยงามของจุดชมวิวนี้เมื่อยืนอยู่ที่บ้านพักของห้วยน้ำดัง แล้วมองไปทางทิศตะวันออก ทำให้มองเห็นสภาพธรรมชาติที่สวยงาม ทิวทัศน์ของทิวเขาอันสลับซับซ้อนซึ่งมีดอยหลวงเชียงดาวที่สูงที่สุดอยู่ใจ กลาง และในช่วงเช้าตรู่ของฤดูหนาวจะเกิดทัศนียภาพของทะเลหมอกที่ สวยงาม ทางเข้าแยกจากถนนสายแม่มาลัย-ปายหลักกิโลเมตรที่ 65 - 66 เป็นทางลูกรังเข้าไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร
• น้ำตกแม่เย็น เป็นน้ำตกที่เกิดจากลำห้วยแม่เย็นหลวง ซึ่งจะไหลลงมาสู่แม่น้ำปายต่อไป สภาพน้ำตกเป็นน้ำตกขนาดใหญ่สูง มีน้ำไหลตลอดปี
• น้ำตกแม่ลาด ความสูงประมาณ 40-50 เมตร ตั้งอยู่ใน ต.เมืองแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่
• น้ำตกแม่หาด ความสูงประมาณ 40-50 เมตร มี 4 ชั้น ตั้งอยู่ใน ต.เมืองแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่
• น้ำตกห้วยน้ำดัง เป็นน้ำตกที่เกิดจากลำห้วยน้ำดัง มีโขดหินมากมาย ความสูงประมาณ 50 เมตร กว้าง 10 เมตร เป็นน้ำตกที่สวยงามมากความสูง 3 - 4 ชั้น และสภาพโดยทั่ว ๆ ไปชุ่มชื้นไปด้วยพันธุ์ไม้ป่าดิบชื้น
• โป่งน้ำร้อนท่าปาย เป็นบ่อน้ำร้อนที่เปรียบเสมือนน้ำกำลังเดือดขึ้นเป็นพรายฟอง อุณหภูมิน้ำผิวดินประมาณ 80 องศาเซลเซียส น้ำร้อนจะไหลรวมกันเป็นธารน้ำร้อนขยายเป็นบริเวณกว้างมีหมอกควันปกคลุม พื้นที่อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 30 กม. ตั้งอยู่ใน ต.แม่ฮี้ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน
• โป่งน้ำร้อนโป่งเดือด น้ำพุร้อนขนาดใหญ่ จำนวน 3-4 บ่อ และยังมีบ่อเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไป อุณหภูมิน้ำผิวดินประมาณ 90-99 องศาเซลเซียส น้ำพุร้อนจะพุ่งจากใต้ดินตลอดเวลา บางครั้งพุ่งสูงถึง 2 เมตร บริเวณนี้ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติโป่งเดือด ระยะทาง 1,550 เมตร และโป่งเดือดยังเป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวทัวร์ป่าที่มีชื่อเสียงเป็น ที่นิยมของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง
• โป่งร้อน อยู่ในป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ปายฝั่งซ้ายตอนบน ท้องที่ตำบลแม่อี้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางลูกรังเข้าไปโป่งร้อน โดยแยกเข้าทางบ้านแม่ปิง ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร สภาพ ธรรมชาติของโป่งร้อนเป็นบ่อน้ำร้อนที่น้ำกำลังเดือดเป็นฟองและมีหมอกควันปก คลุมพื้นที่ พร้อมทั้งมีน้ำร้อนไหลเรื่อย ๆ ทั่วบริเวณกว้าง บ่อน้ำร้อนแห่งนี้มีบ่อใหญ่ 2 บ่อ นอกจากนี้ลักษณะเป็น น้ำผุดบางจุด ความร้อนประมาณ 80 องศาเซลเซียส รอบ ๆ โป่งร้อนเป็นไม้สักที่สมบูรณ์มาก
• ล่องแพลำน้ำแม่แตง สองฝั่งของลำน้ำแม่แตงยังคงอุดมสมบูรณ์ด้วยพันธุ์ไม้และนกนานาชนิด จัดว่าเป็นสายน้ำที่มีบรรยากาศของการท่องเที่ยวที่ตื่นเต้นเร้าใจเต็มไปด้วยเกาะแก่งและ โขดหิน โดยเดินทางตามเส้นทางทัวร์ป่าจากน้ำพุร้อนโป่งเดือดจนถึงบ้านปางป่าคา (7กม.) หรือบ้านป่าข้าวหลาม (9 กม.) จากนั้นเริ่มล่องแพใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง จะถึงบ้านสบก๋ายซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของการล่องแพ
บ้านพัก-บริการ บ้านพักทางการที่ตั้งในอุทยานฯ
การเดินทาง
• รถยนต์ โดยเดินทางจากอำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 107 และเข้าทางแยกซ้ายมือที่ตลาดแม่มาลัย (อำเภอแม่แตง) ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 1095 (สายแม่-มาลัยปาย) จนถึงช่วงหลักกิโลเมตรที่ 65-66 มีทางแยกขวามือซึ่งมีป้อมยามตั้งอยู่ทางเข้าถึงบริเวณ ห้วยน้ำดัง ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร เดินทางต่อไปอีกระยะประมาณ 3 กิโลเมตร ก็จะถึงจุดชมวิวดอยช้าง ถ้าเดินทางต่อไปอีกตามเส้นทางหลวงหมายเลข 1095 จากหลักกิโลเมตรที่ 66 ไปยังอำเภอแม่ปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ถึงบ้านแม่ปิง จะมีทางแยกขวามือเป็นทางของ รพช. หมายเลข มส. 11024 ถึงโป่งร้อน อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่ง
สถานที่ติดต่อ
อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง หมู่ที่ 5 ต.กึ๊ดช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ 50300
วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ชวนเที่ยวเมืองไทย (ไม่ไปไม่รู้) หมู่เกาะอ่างทอง
หมู่เกาะอ่างทอง ตั้งอยู่ในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประกอบด้วยเกาะต่าง ๆ 42 เกาะ ได้แก่ เกาะพะลวย เกาะวัวตาหลับ เกาะแม่เกาะ เกาะสามเส้า เกาะหินดับ เกาะนายพุด และเกาะไผ่ลวก เป็นต้น ซึ่งตามเกาะต่าง ๆ จะมีหาดทรายอยู่เกือบทุกเกาะ บางเกาะหาดทรายมีสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ บางเกาะมีปะการังตามชายทะเลหลายชนิด สีสวยงามหลากสี อยู่ท่ามกลางความเงียบสงบ
แหล่งท่องเที่ยวใน หมู่เกาะอ่างทอง ได้แก่ เกาะท้ายเพลาและเกาะวัวกันตัง เป็นจุดที่มีแนวปะการังและหาดทรายขาวสะอาด, เกาะวัวตาหลับ อยู่บริเวณอ่าวคา เป็นหาดทรายขาวสะอาดเหมาะแก่การเล่นน้ำ นอนเล่นพักผ่อนริมหาด เมื่อขึ้นไปจุดชมทิวทัศน์บนยอดเขา จะมองเห็นหมู่เกาะอ่างทองทั้งหมดที่ทอดตัวเรียงรายเป็นแนวยาวด้วยรูปร่าง ต่าง ๆ แปลกตา, เกาะหินดับ เป็นเกาะที่มีหาดทรายที่สวยงามและชายหาดที่ยาวที่สุดในอุทยานแห่งชาติ สภาพภูมิประเทศและทัศนียภาพรอบเกาะสวยงามน่าชม
ทะเลใน หรือ ทะเลสาบกลางภูเขา อยู่บน เกาะแม่เกาะ เป็นแอ่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยเทือกเขาหินปูนที่สูงสลับ ซับซ้อนแต่มีอุโมงค์ใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับทะเล การกำเนิดของทะเลสาบน้ำเค็มนี้ได้มีการสันนิษฐานว่า เกิดจากการยุบตัวของหินชั้นล่างทำให้เกิดบ่อยุบ ซึ่งเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับหมู่เกาะ หรืออาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในกระบวนการเดียวกับการเกิดถ้ำ
ทั้งนี้ ช่วงเวลาระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ของทุกปี เป็นช่วงฤดูมรสุม ทะเลจะมีคลื่นลมแรง ทำให้การเดินทางไป หมู่เกาะอ่างทอง ไม่มีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว ทางอุทยานแห่งชาติจึงกำหนดปิดการท่องเที่ยวประจำปี ได้แก่ ปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน - 23 ธันวาคม ของทุกปี และจะเปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม - 31 ตุลาคม ของทุกปี
ต้มยำปลาดุกย่าง แซ่บเว่อร์
ต้มยำปลาดุกย่าง
ส่วนประกอบ
วิธีการทำ
|
เจียวไข่มดแดง อร่อยมาก

วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ต้อนรับเช้าวันใหม่ ด้วยอาหารเช้า 7 ชาติ 7 สไตล์
อาหาร มื้อเช้า เป็นมื้อที่สำคัญที่สุด เพื่อช่วยให้สมองและร่างกายมีพลังงานแร่ธาตุ และวิตามินต่างๆ ไปช่วยบำรุงร่างกายที่ดำเนินชีวิตทำกิจกรรมในแต่ละวัน อาหารเช้าของคนไทยส่วนมากจะทานข้าวเป็นหลัก หรือถ้าทานไม่ทันก็จะทานขนมปัง แซนวิช หรือนมเป็นต้น แต่บางประเทศในทุกๆวัน มื้อเช้าจะต้องเป็นเมนูนี้เป็นหลัก มาดูกันว่าเมนูที่เป็นมื้อเช้าของประเทศนั้นๆ คืออะไร น่าทานแค่ไหน
เม็กซิโก : สิ่งที่เหมือนกันมากที่สุดอย่างหนึ่งของคนอเมริกาเหนือก็คืออาหารเช้าแบบ เม็กซิโก huevos rancheros ตอติญ่าที่ทำจากแป้งข้าวโพดราดด้วยไข่ดาวและซอส ranchera มักเสิร์ฟกับ frijoles อาหารจานนี้เกือบจะเป็นอาหารเช้ามาตรฐานตั้งแต่ Austin ถึง Soho แต่ที่เม็กซิโกคุณมาสมารถสั่ง huevos ได้หลายแบบ Huevos divorciados (ตามในรูป) ที่สั่งแยกออกเป็นไข่ฟองหนึ่งราดด้วย salsa roja และอีกฟองหนึ่งราดด้วย alsa verde (ตรงกลางราดด้วยซอสที่ทำจากมะเขือเทศชนิดหนึ่ง)
จาไมกา : ackee ผลไม้ของจาไมกานำมาตุ๋นจนแห้ง มะเขือเทศ หัวหอม พริกสก็อตบอนเนท และ thyme ที่เป็นส่วนประกอบในอาหารเช้า ต้น ackee เป็นต้นไม่พื้นเมืองของแอฟริกาอยู่ในตระกูลเดียวกับลิ้นจี้และลำไย เนื้อเป็นสีเหลือง ต้องนำไปปรุงถึงจะอร่อย ในการตุ๋นต้องนวดด้วย แช่ไว้ในน้ำทั้งคืนและนำไปต้ม มักเสิร์ฟกับ johnnycakes บิสกิตง่ายๆ ที่ทำจากแป้งหรือแป้งข้าวโพดและนมเปรี้ยวแล้วนำไปทอดในน้ำมัน
เวลส์ : เป็นตัวอย่างของอาหารเช้าของอังกฤษ มีความหลากหลายตามีสิ่งที่เหมือนกันคือเบคอน ไส้กรอก และไข่ มักจะโรยถั่วอบ อย่างไรก็ตามอย่าลืมหา laverbread ด้วย ในจานประกอบด้วยสาหร่ายจากชายฝั่งเวลส์ที่น้ำไปต้มจนเหนียวแล้วนำไปผสมกับ ข้าวโอ๊ตบด รสชาดเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้
ญี่ปุ่น : ขณะที่อาหารเช้าทางฝั่งตะวันตกมีส่วนประกอบหลักเป็น ซีเรียล ขนมปังปิ้ง และไข่ แต่อาหารเช้าที่ญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเป็นส่วนใหญ่ของคนญี่ปุ่นด้วยที่จะเริ่มต้นวันด้วย ข้าว อาหารทะเล สาหร่าย และนัตโตะ (ถั่วหมักในซอสถั่วเหลือง) อาจมีอย่างอื่นด้วยที่คุณพบ เช่น เต้าหู้ ปลาทอด และ umeboshi (พลับดอง) ที่ให้รสเค็มและเปรี้ยว
เนเธอแลนด์ : ขนมปังธัญพืชและขนมปังกรอบที่เรียกว่า beschui เป็นคาร์โบไฮเดรตสำหรับตัวอย่างอาหารเช้าของชาวดัตช์สำหรับเวลาเร่งรีบ คนในฮอลแลนด์จะเตรียมเนื้อสไลด์ ชีสก้อนใหญ่ กาแฟเข้มๆ และของที่ใช้ทาหรือราดตั้งแต่ Nutella (ครีมถั่วฮาเซลนัทผสมโกโก้) ไปจนถึงน้ำผึ้ง ถ้าต้องการอะไรที่เป็นแบบฉบับบจริงๆ มองหาขวดที่มีชื่อว่า hagelslag เป็นที่นิยมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ช็อคโกแลตที่ใช้โรยหน้า (เหมือนที่โรยในไอศกรีมในอเมริกาแต่นุ่มนวลและให้รสมากกว่า) ที่ละเลงลงบน beschuit เป็นองค์ประกอบที่ให้ความหวานกับชาหรือกาแฟ Hagelslag จะใส่ลงในนมช็อคโกแลตหรือดาร์คช็อคโกแลต
จีน : อาหารเช้าของจีนมีความหลากหลายทั้งติ่มซำจนถึงขนมหัวผักกาด แต่อาหารเช้าของจีนที่เป็นที่รู้จักที่สุด ที่ทานกันทั่วประเทศ ไม่ได้ต้องพูดถึงบุฟเฟ่ในโรงแรมตั้งแต่ที่สิงคโปร์จน ถึงญี่ปุ่น นั่นก็คือ congee หรือข้าวต้ม รสธรรมดาแต่เป็นอาหารเช้าที่นิยมที่สุด เป็นพื้นฐานและดึงดูดด้วยเครื่องที่ใส่เพิ่มลงไปอย่าง หมูหยอง กุ้งแห้ง และผักดอง
ฝรั่งเศส : อาหารเช้าในฝรั่งเศสจะมีกาแฟ อย่าแปลกใจหากคุณทานอาหารในปารีส และพบว่ากาแฟของคุณอยู่ในชามแทนที่จะเป็น แก้ว เพื่อที่ได้ง่ายต่อการนำขนมปังช็อคโกแลตหรือครัวซองท์จิ้มลงไปถือเป็นการทาน แบบดั้งเดิมสำหรับวันหยุด หากเป็นในช่วงกลางอาทิตย์ก็จะเป็นขนมปังกับแยม น้ำผึ้งหรือเนย ลองเริ่มต้นวันใหม่แบบฝรั่งเศสดูซิ
เม็กซิโก : สิ่งที่เหมือนกันมากที่สุดอย่างหนึ่งของคนอเมริกาเหนือก็คืออาหารเช้าแบบ เม็กซิโก huevos rancheros ตอติญ่าที่ทำจากแป้งข้าวโพดราดด้วยไข่ดาวและซอส ranchera มักเสิร์ฟกับ frijoles อาหารจานนี้เกือบจะเป็นอาหารเช้ามาตรฐานตั้งแต่ Austin ถึง Soho แต่ที่เม็กซิโกคุณมาสมารถสั่ง huevos ได้หลายแบบ Huevos divorciados (ตามในรูป) ที่สั่งแยกออกเป็นไข่ฟองหนึ่งราดด้วย salsa roja และอีกฟองหนึ่งราดด้วย alsa verde (ตรงกลางราดด้วยซอสที่ทำจากมะเขือเทศชนิดหนึ่ง)
จาไมกา : ackee ผลไม้ของจาไมกานำมาตุ๋นจนแห้ง มะเขือเทศ หัวหอม พริกสก็อตบอนเนท และ thyme ที่เป็นส่วนประกอบในอาหารเช้า ต้น ackee เป็นต้นไม่พื้นเมืองของแอฟริกาอยู่ในตระกูลเดียวกับลิ้นจี้และลำไย เนื้อเป็นสีเหลือง ต้องนำไปปรุงถึงจะอร่อย ในการตุ๋นต้องนวดด้วย แช่ไว้ในน้ำทั้งคืนและนำไปต้ม มักเสิร์ฟกับ johnnycakes บิสกิตง่ายๆ ที่ทำจากแป้งหรือแป้งข้าวโพดและนมเปรี้ยวแล้วนำไปทอดในน้ำมัน
เวลส์ : เป็นตัวอย่างของอาหารเช้าของอังกฤษ มีความหลากหลายตามีสิ่งที่เหมือนกันคือเบคอน ไส้กรอก และไข่ มักจะโรยถั่วอบ อย่างไรก็ตามอย่าลืมหา laverbread ด้วย ในจานประกอบด้วยสาหร่ายจากชายฝั่งเวลส์ที่น้ำไปต้มจนเหนียวแล้วนำไปผสมกับ ข้าวโอ๊ตบด รสชาดเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้
ญี่ปุ่น : ขณะที่อาหารเช้าทางฝั่งตะวันตกมีส่วนประกอบหลักเป็น ซีเรียล ขนมปังปิ้ง และไข่ แต่อาหารเช้าที่ญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเป็นส่วนใหญ่ของคนญี่ปุ่นด้วยที่จะเริ่มต้นวันด้วย ข้าว อาหารทะเล สาหร่าย และนัตโตะ (ถั่วหมักในซอสถั่วเหลือง) อาจมีอย่างอื่นด้วยที่คุณพบ เช่น เต้าหู้ ปลาทอด และ umeboshi (พลับดอง) ที่ให้รสเค็มและเปรี้ยว

จีน : อาหารเช้าของจีนมีความหลากหลายทั้งติ่มซำจนถึงขนมหัวผักกาด แต่อาหารเช้าของจีนที่เป็นที่รู้จักที่สุด ที่ทานกันทั่วประเทศ ไม่ได้ต้องพูดถึงบุฟเฟ่ในโรงแรมตั้งแต่ที่สิงคโปร์จน ถึงญี่ปุ่น นั่นก็คือ congee หรือข้าวต้ม รสธรรมดาแต่เป็นอาหารเช้าที่นิยมที่สุด เป็นพื้นฐานและดึงดูดด้วยเครื่องที่ใส่เพิ่มลงไปอย่าง หมูหยอง กุ้งแห้ง และผักดอง
พิซซ่า ญี่ปุ่น (โอโคโนมิยากิ)
พิซซ่าญี่ปุ่น ( โอโคโนะมิยากิ - Okonomi yaki )
วันนี้....ขอนำเสนอเมนู....ที่เป็นที่ชื่นชอบทั้งของเด็กและผู้ใหญ่มาฝากกันค่ะ เมนูนี้คือ.... " พิซซ่าญี่ปุ่น - โอโคโนะมิยากิ " (Okonomi Yaki - お好み焼き) ได้เคยโพสไว้แล้วที่เวปของคุณแมงเม่าฯ แต่เพื่อความสะดวกในการรวบรวมข้อมูลสูตรอาหารต่าง ๆ จึงได้นำมาโพสใหม่อีกครั้งในบล๊อคนี้ค่ะ
วันนี้....ขอนำเสนอเมนู....ที่เป็นที่ชื่นชอบทั้งของเด็กและผู้ใหญ่มาฝากกันค่ะ เมนูนี้คือ.... " พิซซ่าญี่ปุ่น - โอโคโนะมิยากิ " (Okonomi Yaki - お好み焼き) ได้เคยโพสไว้แล้วที่เวปของคุณแมงเม่าฯ แต่เพื่อความสะดวกในการรวบรวมข้อมูลสูตรอาหารต่าง ๆ จึงได้นำมาโพสใหม่อีกครั้งในบล๊อคนี้ค่ะ
" โอโคโนะมิยากิ - พิซซ่าญี่ปุ่น "....... เป็นอาหารว่างชนิดหนึ่ง ที่ทานแล้วอิ่มท้องชนิด ที่ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นของว่างเชียวค่ะ

เครื่องปรุงและส่วนประกอบของอาหารทั้งสองอย่าง....... จะคล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่ว่า "โอโคโนะมิยากิ"....จะนำมาทอดในกะทะ และแผ่ให้เป็นแผ่นคล้ายพิซซ่า และอีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนส่วนผสมของเครื่องปรุง ในส่วนของเนื้อสัตว์ที่จะเลือกใส่ได้ตามความชอบของผู้ทานได้หลากหลายกว่า "ทาโกะยากิ"
ทั้ง "โอโคโนะมิยากิ" และ " ทาโกะยากิ" นี้..... มักจะเห็นวางขายคู่กัน.... ตามร้านแผงลอยในงานเทศกาลมัตสึริ , ในห้างร้านย่านชุมชน หรือ ตามสถานีรถไฟหลายแห่ง... เพราะทานได้สะดวก และสามารถซื้อใส่กล่องนำกลับไปอุ่นทานที่บ้านได้
เรามาดูกันว่า...จะต้องเตรียมเครื่องปรุงอะไรกันบ้าง....สูตรที่นำมาฝากในบล๊อคนี้.....มีด้วยกัน 3 สูตร เพื่อน ๆ ลองเลือกดูว่าชอบและสะดวกในสูตรไหนนะคะ
พิซซ่าญี่ปุ่น (โอโคโนะมิยากิ - お好み焼き) ...สูตรที่...1
เครื่องปรุง ( สำหรับ 2-3 คน )
แป้งสาลีโปรตีนต่ำ (ฮะคุริคิโกะ / Hakuriki ko / 薄力粉)เป็นแป้งที่ใช้สำหรับทำเค็ก........ 100 กรัม
ไข่ไก่........ 1 ฟอง
ดาชิจิหรุ (น้ำซุปสต็อกปลา)....... 120 ซีซี (หรือจะใช้ผงดาชิจิหรุสำเร็จรูป ½ ช้อนชา ผสมกับน้ำอุ่น 120 ซีซี ก็ได้ค่ะ )
กล่ำปลีซอยแล้วสับละเอียด........ 100 กรัม
ต้นหอมญี่ปุ่นซอยละเอียด........ ½ ต้น (ใช้ทั้งส่วนสีขาวและใบสีเขียว) ถ้าไม่มีใช้ต้นหอมเล็กแทนได้
Yama imo (มันมือเสือ) ฝนละเอียด........ 40 กรัม
กุ้งแห้งฝอย......... 2 ช้อนโต๊ะ (แบบที่เค้าใส่ผัดในก๋วยเตี๋ยวผัดไทย)
เนื้อหมูหั่นสไลด์บาง ๆ หรือเนื้อสัตว์อะไรก็ได้ตามชอบ...... 100 กรัม
น้ำมันพืช......... 1 ช้อนโต๊ะ
Agetama ( แป้งเทมปุระที่นำไปทอดเป็นก้อนเล็ก ).... นิดหน่อย
Beni Shoga ( ขิงดองสีแดงเข้ม )....... นิดหน่อย
Ao Nori ( สาหร่ายสีเขียวป่นละเอียด )...... นิดหน่อย
Katsuo bushi ( ปลาโออบแห้งไสเป็นฝอย )....... นิดหน่อย
ซอสโอโคโนะมิยากิ....... พอควร
มายองเนส , ซอสมะเขือเทศ.....พอประมาณ (ถ้าชอบ)
เครื่องปรุงทั้งหมดที่เตรียมไว้.....

วิธีทำ.....
1). กล่ำปลีล้างสะอาด หั่นสับหยาบ ๆ
2). ต้นหอมญี่ปุ่นล้างสะอาด แล้วซอยละเอียด

3). เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและสะดวก.....เต่าใช้ผงดาชิจิหรุสำเร็จรูป...½ ช้อนชาผสมกับน้ำอุ่น.. 120 ซีซี คนให้ละลายเข้ากัน
4). ล้างเปลือกของมันยามะอิโมะ (มันมือเสือ) ปลอกเปลือกด้านนอกออก นำมาฝนให้ละเอียด (ถ้าไม่มี...จะไม่ใส่ก็ได้ค่ะ... แต่ตัวแป้งที่ทอดเสร็จแล้ว...จะแข็งกระด้างนิดหน่อย)


วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
หอยจ้อปู
ส่วนประกอบ
- หมูบดแช่เย็น 150 กรัม
- มันหมูแข็งหั่นเต๋าเล็กแช่เย็น 50 กรัม
- แห้วหั่นเต๋าเล็ก 50 กรัม
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- เนื้อปู 100 กรัม
- คนอร์อร่อยชัวร์ 2 ช้อนชา
- น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
- แป้งสาลี 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันปาล์มสำหรับทอดประมาณ 500 มล.
- ฟองเต้าหู้แผ่นสำหรับห่อและเชือกสำหรับมัดหอยจ้อ
วิธีทำ
- นำฟองเต้าหู้แผ่นแช่น้ำ แล้วยกขึ้นสะเด็ดน้ำ พักไว้ นำหมูบด มันหมู แห้ว เนื้อปู ไข่ไก่ แป้งสาลี น้ำมันหอยมาผสมกับคนอร์อร่อยชัวร์ให้เข้ากัน
- นำส่วนผสมที่ได้มาห่อด้วยแผ่นฟองเต้าหู้ให้เป็นแท่ง แล้วมัดด้วยเชือกให้เป็นท่อนๆ นำหอยจ้อที่ห่อไว้ไปนึ่งประมาณ 10-15 นาทีจนสุก ทิ้งไว้ให้เย็น
- แกะเชือกที่ผูกหอยจ้อออก หั่นเป็นท่อนๆ นำไปทอดในน้ำมันร้อน (อุณหภูมิร้อนปานกลาง) ทอดจนเหลืองกรอบ ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ รับประทานคู่กับน้ำจิ้มบ๊วย หรือน้ำจิ้มไก่
โจ๊กคนอร์
ส่วนประกอบ
- คนอร์คัพโจ๊กกุ้ง 2 ซอง
- เนื้อปลาเก๋าหั่นชิ้นพอคำ 80 กรัม
- น้ำร้อน (500 มิลลิลิตร) 2 ถ้วยตวง
- ต้นหอมซอย ขิงซอย และปลาท่องโก๋สำหรับโรยหน้าตามชอบ
วิธีทำ
- นำน้ำใส่หม้อตั้งไฟพอน้ำเดือดจัด ใส่ปลาลงต้มจนสุก ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ ตักใส่ถ้วยพักไว้
- เทคนอร์คัพโจ๊กใส่ชาม ใส่น้ำร้อนคนให้เข้ากันแล้วปิดฝาทิ้งไว้ 2 นาที
- จัดเสิร์ฟโดยแบ่งโจ๊กออกเป็น 2 ชาม ใส่ปลาที่เตรียมไว้ โรยหน้าด้วยต้นหอมซอย ขิงซอย และปลาท่องโก๋พร้อมเสิร์ฟ
วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
พะแนงเนื้อ
* เนื้อวัว 400 กรัม (หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ)
* น้ำพริกแกงพะแนง 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำพริกแกงพะแนง 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
* กะทิ 150 กรัม
* น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
* ใบโหระพา 10 ใบ
* พริกชี้ฟ้า 2 เม็ด (หั่นตามแนวขวาง)
* ใบมะกรูด 3 ใบ (ซอยละิีเอียด)
![]() | ![]() | |
วิธีทำทีละขั้นตอน
1. นำเครื่องแกงไปผัดกับน้ำมันประมาณ 1 นาที จากนั้นจึงใส่กระทิลงไปและต้มต่อไปจนเดือด 2. ใส่เนื้อวัว แล้วจึงปรุงรสด้วยน้ำตาลและน้ำปลา |
น้ำพริกกุ้งสด รสแซ่บเว่อร์ (Thai Chili and Shrimp Dipping Sauce)
เมืองไทยนั้นขึ้นชื่อว่าอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืช ผัก ผลไม้ และคนไทยแต่กาลนานมา พ่อแม่มักสอนให้เรากินง่ายอยู่ง่าย มีผักที่ปลูกเอง จากนั้นก็แค่ตำน้ำพริก ก็อิ่มง่ายๆ ไปอีกหนึ่งมื้อ "น้ำพริก" เป็นอาหารที่อยู่เคียงคู่กับคนไทยมาช้านาน มีความหลากหลายสารพัดน้ำพริก สารพัดรสชาติ แต่ละภาคแต่ละท้องถิ่นก็จะมีกรรมวิธีการปรุง แตกต่างกันไป แต่ที่ไม่ต่างคือ อร่อยแซ่บๆ สไตล์ไทยนั่นเอง ลองไปดูสูตรน้ำพริกกุ้งสดที่นำมาเสนอกันเลย...
ส่วนประกอบ
- กุ้ง 7-10 ตัว ปอกเปลือกออกให้หมด ลวกด้วยน้ำเกลือ
- กะปิอย่างดีห่อใบตองย่างให้หอม 1+ 1/2 ช้อนโต๊ะ (หรือประมาณ 80 กรัม).
- กระเทียมตัดหัวท้าย ลอกเปลือกแข็งๆ ออก 10 กลีบ (ประมาณ 50 กรัม)
- พริกขี้หนูสวนสีแดงเขียว 8-10 เม็ด (ปรับเพิ่ม/ลด ตามความชอบ)
- มะเขือพวงเด็ด 50 กรัม
- หอมแดง 2 ลูก (ไม่ใส่ก็ได้ รสชาติไม่ต่างกันมาก)
- ไข่ต้ม, ผักสดหรือผักนึ่งสำหรับทานกับน้ำพริก (ถั่วฝักยาว, กะหล่ำปลี, แตงกวา, อื่นๆ)

เครื่องปรุง
- น้ำตาลปี๊บ ½ ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 2-3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำทีละขั้นตอน
- นำกุ้งปอกเปลือก เด็ดหัวทิ้ง แล้วลวกด้วยน้ำเกลือต้มเดือดจนสุก (เพื่อดับคาว) จนกุ้งออกสีชมพู นำออกมาสะเด็ดน้ำ พักไว้
- นำกะปิห่อด้วยใบตอง ย่างไฟ เพื่อเพิ่มความหอม
- นำพริกขี้หนู, หอมแดง และกระเทียมไปคั่วในกระทะด้วยไฟอ่อน จนสุกหอม จากนั้นจึงนำไปตำในครกพร้อมกะปิและเนื้อกุ้งสัก 4-5 ตัว จนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
- จากนั้นใส่มะเขือพวงลงไป โขลกย้ำเบาๆ แค่พอมะเขือพวงแตก
- ปรุงรสด้วยน้ำตาล, น้ำปลาและน้ำมะนาว
- สุดท้ายนำกุ้งที่เหลือ ใส่ลงไป โขลกทุกอย่างเบาๆ (ไม่ต้องให้กุ้งเละ) คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นเติมน้ำอุ่นลงไปเล็กน้อยไม่ต้องมาก (เพื่อปรับความข้น) เพียงเท่านี้ก็เป็นอันว่า เสร็จเรียบร้อย
- ตักน้ำพริกใส่ถ้วย เสริฟพร้อมผักสด (หรือผักนึ่ง), ไข่ต้มและข้าวสวยร้อนๆ และที่ขาดไม่ได้เลยต้องชะอมชุบไข่ทอด ทานคู่กันกับน้ำพริกกุ้งสดอร่อยแซ่บหลายๆ

น้ำพริกกุ้งสดในขั้นตอนที่ 6

น้ำพริกกุ้งสด
แกงเขียวหวาน
* เนื้อไก่ 350 กรัม (หั่นเป็นชิ้นเล็ก พอดีคำ)
* กะทิ 1 1/4 ถ้วยตวง
* ใบโหระพา 1/4 ถ้วยตวง
* มะเขือเปราะ 2 ลูก (หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ)
* น้ำุซุปไก่ 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำตาลมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ (หรือน้ำตาลทรายธรรมดา)
* น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
* พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด (หั่นเฉียง)
* ใบมะกรูด 4 ใบ
![]() | ||
วิธีทำทีละขั้นตอน
1. ตั้งกะทิ 1/2 ถ้วยตวง (กระทิส่วนที่เหลือไว้ค่อยใช้ในขั้นตอนต่อไป) บนกระทะจนร้อน (ใช้ไฟปานกลาง) คนจนกระทิเดือดประมาณ 3 - 5 นาที จากนั้นใส่เครื่องแกงเขียวหวานลงไปผัดกับกระทิสักพักจนน้ำกระทิงวดลง จึงเทส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อใหญ่ 2. นำหม้อใบใหญ่ตั้งไฟปานกลาง ใส่เนื้อไก่และคนประมาณ 2 นาที จากนั้นใส่น้ำปลา, น้ำตาล คนต่อไปอีก 1 นาที ใส่มะเขือเปราะที่หั่นไว้แล้ว ใส่น้ำกระทิที่เหลือและใส่น้ำซุปไก่ ต้มต่อไปสักพักจนเนื้อไก่เริ่มสุก และมะเขือเปราะนิ่ม |
การหมักหมูแดดเดียว สูตรหมูทอดแดดเดียว

การหมักหมูแดดเดียว สูตรหมูทอดแดดเดียว
หมูแดดเดียว อาหารคู่บ้านคนไทยก็ว่าได้ เมนูอาหารในวันนี้ขอแนะนำ สูตรหมูแดดเดียว (Thai Pork Jerky Recipe) พร้อม แนะนำวิธีการหมักหมูแดดเดียวให้อร่อยแบบแซ่บเวอร์ ซึ่งรสชาติเมื่อทอดเสร็จจะออกกลมกล่อม ไม่จืด ไม่เค็ม โดยสูตรนี้ใช้เนื้อหมูประมาณหนึ่งกิโล ไปดูส่วนประกอบและเครื่องปรุงกันเลย...
เครื่องปรุงและส่วนผสม
- เนื้อหมู 1 กิโลกรัม
- กระเทียม 1 หัวครึ่ง
- รากผักชี 5-6 ราก
- พริกไทย 2 ช้อนชา
- งาขาว 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาล 4 ช้อนชา
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- ซอสหอยนางรม 4 ช้อนโต๊ะ
- ผงปรุงรสเนื้อ 1 ช้อนโต๊ะ
- ล้างเนื้อหมูให้สะอาด นำนื้อหมูมาแล่ เป็นชิ้นบางหน่อย (หนาประมาณ 1 เซ็นติเมตร) แต่อย่าบางมาก ถ้าบางมากไป เวลานำไปตากแดดจะแห้งมากเกินไป เนื้อหมูบางส่วนอาจท่อนเป็นชิ้นๆด้วยก็ได้
- โขลกกระเทียม รากผักชี พริกไทยให้ละเอียด ได้ที่แล้วนำไปหมักเนื้อหมู
- จากนั้นเติมน้ำตาล, น้ำปลา, ซอสหอยนางรม, งาขาว และผงปรุงรส ลงไป
- คลุกเคล้าหรือนวดด้วยมือจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี และทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง
- นำเนื้อหมูไปตากแแดดไว้ประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง กลับเนื้อหมูบ้างเป็นระยะ (โดยตากแดดไปสัก 2 ชั่วโมงเนื้อหมูด้านหนึ่งจะแห้งก็ทำการกลับเนื้อหมูแล้วตากอีกด้านไปอีก 2 ชั่วโมง)
- สำหรับการทอด ให้ใส่น้ำมันลงในกระทะและนำไปตั้งไฟ รอจนน้ำมันร้อนจึงนำหมูหมักลงไปทอดจนสุกทั่ว จัดหมูทอดใส่จานพร้อมเสริฟ
เคล็ดลับ
- การหมักหมู ถ้าหมักไว้นานเครื่องปรุ่งรวมส่วนผสมแล้วจะเป็นน้ำ จะเสียความเข้มข้นตรงนั้นไป
- น้ำตาลทรายขาว ยิ่งเม็ดละเอียดมากยิ่งดี
- งาขาว จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ถ้าใส่ก็ดูสวยงามดี ได้กินงาขาวด้วย และจะช่วยเพิ่มกลิ่นหอมของหมูทอด
- การตากเนื้อหมูถือว่าสำคัญเหมือนกัน ถ้าแดดจัด แดดแรง หากตากนานเกินไป เนื้อหมูจะแห้งเกินไป เวลาทอดแล้วเนื้อจะแข็งแต่ก็ทานได้ ดังนั้นหากแดดแรง ตากเนื้อหมูแค่พอหมาดๆ ก็เก็บได้เลย
- สำหรับเวลาทอดนั้น ควรใช้ไฟปานกลาง อย่าใช้ไฟแรงมากเพราะเนื้อหมูจะแข็ง
- สำหรับเครื่องปรุงที่ใช้หมักหมูนั้น ใครชอบหวาน ก็ใส่น้ำตาลเพิ่มมากหน่อย ใครชอบเค้มก็ใส่น้ำปลามากหน่อย
- จัดหมูทอดแดดเดียวในจานพร้อมผักสดต่างๆ ; แตงกวา, มะเขือเทศ, กะหล่ำปลี, อื่นๆ และน้ำจิ้ม ช่วยเพิ่มความอร่อยได้เป็นอย่างดี
วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
สูตรปลากระพงนึ่งมะนาว อร่อยแซ่บเวอร์ จานนี้ต้องลอง
สูตรปลากระพงนึ่งมะนาว อร่อยแซ่บเวอร์ จานนี้ต้องลอง

ส่วนผสม
1. ปลากระพงขาวหนัก 7 ขีด
2. กระเทียมสับหยาบ 3 ช้อนโต๊ะ
3. พริกขี้หนูสับหยาบ 10-30 เม็ด
(ถ้าใช้พริกขี้หนูสวนจะหอมและเผ็ดมากกว่า ปริมาณแล้วแต่ชอบ ถ้าใส่ 10 เม็ดสำหรับเผ็ดน้อย ... 30 เผ็ดมาก)
4. รากผักชีสับหยาบๆ 3 ราก
5. ต้นหอมสับ 3 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำมะนาว 3 - 4 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. นำปลากระพงมาขอดเกล็ด ควักเอาพุงปลาออก ล้างให้สะอาด แล้วบั้งขวางเนื้อปลาข้างละ 3 บั้งให้ถึงกระดูก แล้วสะเด็ดน้ำให้แห้ง
2. ก่อนนำปลาไปนึ่งให้ใช้น้ำส้มสายชูและเกลืออย่างละ 1 ช้อนชา ผสมกัน แล้วนำไปทาตัวปลาให้ทั่ว วางใส่จาน พักไว้
3. นำน้ำสะอาดใส่ในซึ้ง ต้มให้น้ำเดือด จากนั้นให้นำปลากระพง (จากข้อ 2) ลงนึ่งในซึ้งเลยครับ แล้วปิดฝาหม้อ นึ่งไฟแรงประมาณ 10-15 นาที จนกระทั่งปลาสุก จากนั้นให้ยกปลาออกมา เทน้ำในจานปลาออกโดยใส่ถ้วยไว้ต่างหาก…อย่าทิ้ง
4. ระหว่างรอปลาสุก ให้ทำน้ำปรุงรสใส่ชามเตรียมไว้ โดยผสมกระเทียมสับ ต้นหอมสับ พริกขี้หนูสับ รากผักชีสับ น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน แล้วก็เติมน้ำจากตัวปลาลงไปผสมด้วย ชิมและเติมรสให้ถูกใจ
5. นำปลาที่นึ่งสุกแล้ว ราดด้วยน้ำปรุงรสที่เตรียมไว้ เสิร์ฟร้อนๆ ประดับด้วยมะนาวฝานเป็นแว่นๆ โรยหน้าด้วยใบสะระแหน่ และผักชีไทยสับตามชอบครับ
(สำหรับเสิร์ฟรับประทาน 2 ที่)
แนะนำเคล็ดลับการนึ่งปลา
- อาจเพิ่มผักลงไปในเมนูปลากะพงนึ่งมะนาว โดยวางผักต่างๆรองตัวปลาแล้วนำไปนึ่ง
- ปลานึ่งมะนาว ไม่ว่าจะใช้ปลาอะไรทำนั้น มีความจำเป็นที่จะต้องนึ่งปลาให้สุกเสียก่อน การที่จะนึ่งปลาไม่ให้คาวและเนื้อเละ ที่เป็นเหตุทำให้ทานปลาไม่อร่อย มีวิธีแก้ปัญหาดังนี้คือ ก่อนจะนำปลาไปนึ่งให้ใช้น้ำส้มสายชู และเกลืออย่างละ 1 ช้อนชา ผสมกัน ทาตัวปลาให้ทั่ว นำตะแกรงไปวางรองลังถึง จากนั้นให้นำปลาลงไปนึ่งในน้ำเดือดไฟแรง…จนปลาสุก ก็จะไม่มีกลิ่นคาวและเนื้อปลาก็จะไม่เละ
สูตรหมูปิ้ง อร่อยแซ่บเวอร์
สูตรหมูปิ้ง อร่อยแซ่บเวอร์

ส่วนประกอบและเครื่องปรุงสูตรหมูปิ้ง
ต้องขอขอบคุณอาจารย์อุดมชัยเป็นอย่างมากครับสำหรับสูตรหมูปิ้งนี้ ที่ได้แนะนำสูตรอร่อยๆแบบนี้ไว้ สำหรับเครื่องปรุงหมูปิ้งสูตรนี้มีอยู่ทั้งหมด 15 อย่าง แต่ก็สามารถขาดบางอย่างได้นะครับ ซึ่งเราก็ได้แนะนำไว้ตามด้านล่างนี้แล้ว…
- เนื้อหมูติดมัน หรือ (นำเอาเนื้อสันขาหลัง) หรือเนื้อหมูทั่วไปก็ได้ครับถ้าทำทานเองประมาณ 2 กิโลกรัม (หรือลดลงตามส่วน)
- ซีอิ้วดำประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ
- นมข้นจืดกระป๋องตรา (คาร์เนชั่นสูตรข้น) 5 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปิ้บ(ตรา มิตรผล)ใช้ ประมาณ 2 ขีด (เพิ่ม-ลดได้ครับ)
- น้ำมันหอย 12 ช้อนโต๊ะ
- ซีอิ้วขาวเห็ดหอม 9 -12 ช้อนโต๊ะ
- กระเทียม กลีบใหญ่ 15 กลีบ
- รากผักชี 7 ราก
- พริกไทยเม็ด 2-3 ช้อนโต๊ะ (ตามชอบจะลดหรือเพิ่มได้ครับ) ถ้าขายกลุ่มเด็กๆ ไม่ใส่ก็ได้
- น้ำมันพืช 5-6 ช้อนโต๊ะ
- แป้งมัน หรือ แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำสะอาด ½ ถ้วยตวง
- เกลือป่น ½ ช้อนชา
- ผงหมักหมู(คะนอร์) 1-2 ช้อนชา (ตามชอบ ยี่ห้ออื่นก็ได้ครับ)
- กลิ่นควันไฟ (ถ้าหาได้) มีขายตามร้าน 1-2 หยด (ไม่ใส่ก็ได้ครับตามชอบ หรือถ้าเราย่างเตาถ่าน)
- ผงฟู 1/2 ช้อนชา (เพื่อทำให้เนื้อหมูนิ่มนุ่มเด้งยิ่งขึ้น…ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้…อันนี้ตามชอบครับ)
- ข้าวเหนียวนึ่งอร่อยและนุ่มนานทั้งวัน
เครื่องปรุงและวิธีการทำน้ำทาหมูปิ้ง
เคยสังเกตุเห็นไหมเวลาที่เราไปซื้อหมูปิ้งพ่อค้าแม่ค้าบางเจ้า…เขาจะเอาแปรงไปจุ่มในน้ำ (อะไรสักอย่าง) แล้วมาทาที่หมูก่อนจะปิ้ง…รู้ไหมครับว่านั่นก็เป็นอีกเคล็ดลับเช่นกันสำหรับการทำหมูปิ้ง…ซึ่งขั้นตอนการทำน้ำทาหมูปิ้งจะทำหรือไม่ทำก็ได้นะ…ตามสะดวกครับ แต่ถ้าต้องการให้มีรสชาติหอมอร่อยมากยิ่งขึ้น…ก็มีวิธีขั้นตอนในการทำตามนี้ครับ
เคยสังเกตุเห็นไหมเวลาที่เราไปซื้อหมูปิ้งพ่อค้าแม่ค้าบางเจ้า…เขาจะเอาแปรงไปจุ่มในน้ำ (อะไรสักอย่าง) แล้วมาทาที่หมูก่อนจะปิ้ง…รู้ไหมครับว่านั่นก็เป็นอีกเคล็ดลับเช่นกันสำหรับการทำหมูปิ้ง…ซึ่งขั้นตอนการทำน้ำทาหมูปิ้งจะทำหรือไม่ทำก็ได้นะ…ตามสะดวกครับ แต่ถ้าต้องการให้มีรสชาติหอมอร่อยมากยิ่งขึ้น…ก็มีวิธีขั้นตอนในการทำตามนี้ครับ
- สูตรที่ 1 ให้เตรียมหัวกระทิถ้ามี 1/2 ถ้วย หรือนมข้นจืด (คาร์เนชั่นสูตรข้น) ประมาณ 1/2 ถ้วย ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งพอครับ ไว้สำหรับทาหมูตอนที่เราจะปิ้งหมู...เพื่อให้ได้กลิ่นหอมมัน นั่นเอง
- สูตรที่ 2 ส่วนผสม นมสด ชีอิ้วขาว และน้ำมันพืช นำมาผสมเข้าด้วยกันพอประมาณ ใว้สำหรับทาหมูก่อนปิ้ง…ย่างหมู เพื่อให้ได้กลิ่นหอมมันและมีส่วนเพิ่มรสชาติดีด้วย…ยังไงทั้งสองสูตรนี้ก็ลองนำไปทำดูนะครับ
วิธีการทำหมูปิ้ง
- ก่อนอื่นล้างหมูให้สะอาด แล้วนำเนื้อหมูมาหั่นตามความยาว หรือหั่นเป็นชิ้นขนาดประมาณ 1 – 2 นิ้ว (หรือเวลาที่เราไปซื้อที่ตลาด ให้แม่ค้าหั่นให้เราเลยก็ได้ บอกว่าเราจะนำมาทำหมูปิ้ง)
- ปลอกเปลือกกระเทียมแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และล้างรากผักชีให้สะอาดเตรียมไว้ด้วย
- ให้นำเอาพริกไทยเม็ดๆ มาโขลกให้ละเอียด แล้วตามด้วยรากผักชีและกระเทียม โขลกให้เข้ากัน จากนั้นนำไปใส่ในเนื้อหมูที่เตรียมใว้
- จากนั้น ให้นำเอาส่วนผสมตามขั้นตอนที่บอกใว้ที่เหลือทั้งหมด…ใส่ลงไปรวมกันในหมูที่เราจะหมัก แล้วคลุกเคล้านวดให้เข้ากัน โดยให้เราขยำๆเบาๆ เพื่อให้เครื่องปรุงทั้งหมดละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน และช่วยให้น้ำหมักหมูเข้าไปในเนื้อหมูได้ดียิ่งขึ้น
- จากนั้นก็หมักหมูทิ้งใว้ด้วยนำไปแช่ในตู้เย็น (มักในตู้เย็นที่เย็นพอที่หมูของเราจะไม่เน่า….ก็ใช้ได้แล้ว) การแช่ใว้ในความเย็นนานๆ…จะทำให้น้ำหมักหมูดูดซึมเข้าไปในเนื้อมาก…จะทำให้เนื้อหมูนุ่มดีครับ · ถ้าเร่งด่วนเราทำทานเองแช่ในตู้เย็นสัก 2-4 ชั่วโมงก็ใช้ได้...แต่เนื้อจะไม่นุ่มนวลเท่าที่ควร
- นำหมูที่หมักไว้แล้วมาเสียบเข้ากับไม้ให้หมด
- ขั้นตอนสุดท้ายนำหมูเสียบไม้มาปิ้งได้เลยครับ…(ตอนที่เรานำหมูไปปิ้งย่างบนเตา…เพื่อทำให้หอมอร่อยมากยิ่งขึ้น…ให้เอาน้ำทาหมูปิ้งที่ทำเตรียมไว้แล้ว ไปทาบนหมูพอชื้นๆครับ จากนั้นก็ปิ้งหมูตามปกติจนสุก)
· ถ้าแช่ในตู้เย็นสัก 1-2 วันค่อยนำออกมาเสียบไม้ปิ้ง…จะได้เนื้อหมูหมักที่นุ่มนวลรสชาติดี
· ถ้าทำขายหรือต้องการเนื้อหมูที่นุ่มนวลรสชาติดี ควรแช่ไว้ในตู้เย็นเก็บเอาไว้ประมาณ 8 ชั่วโมง หรือแช่ทิ้งเอาไว้ประมาณ 1 คืนก่อนนำมาปิ้ง…จะดีมาก
**ในขั้นตอนที่ 5 นี้** เราจะนำหมูมาเสียบกับไม้ใว้เลยก็ได้…ตามสะดวกครับ…เสร็จแล้วนำหมูที่ได้ไปใส่ลงในกระปุกสี่เหลียมปิดฝาให้สนิท แล้วหมักหมูทิ้งใว้โดยแช่ไว้ในตู้เย็นนานเท่าไรนั้น…ก็ตามที่ได้แนะนำไว้ด้านบนนี้เลยครับ


แนะนำเพิ่มเติม
- ไม้ที่เราจะนำมาเสียบหมู เราควรนำไปแช่น้ำทิ้งค้างคืนใว้ก่อน..เพื่อให้ไม้มีความชื้น..เมื่อเวลาจะนำไม้ไปย่างหมู…ไม้จะได้ไม่ใหม้…ก่อนหมูสุกครับ (เทคนิคนี้แล้วแต่เราครับ แช่หรือไม่แช่ก็ได้)
- ถ้าจะทำขายหมักหมูให้ได้พอประมาณหลังจากนั้นให้นำหมูมาเสียบกับไม้ เสร็จแล้วนำหมูที่ได้ไปใส่ลงในกระปุกสี่เหลียมปิดฝาให้สนิทแล้วแช่ไว้ในตู้เย็นเก็บเอาไว้ประมาณ 1 คืนก่อนนำมาปิ้ง
สำหรับการทำหมูปิ้งนั้นไม่มีสูตรวิธีการทำที่ตายตัว ถ้ารสชาติหวานไป..หรือเค็มไป ก็ให้เราปรับเปลี่ยนส่วนผสมปรุงแต่งรสและค้นหาสูตรใหม่ๆ ด้วยตัวท่านเองได้เสมอ เพื่อต่อยอดให้ได้สูตรหมูปิ้งรสชาติอร่อยยิ่งๆขึ้นไป ที่จะกลายเป็นสูตรพิเศษเฉพาะของตัวท่านเอง
ก๋วยจั๊บน้ำข้น สูตรอร่อยเด็ด

เครื่องปรุง
- เส้นก๋วยจั๊บ 1 กิโลกรัม
- ตับหมู ½ กิโลกรัม
- ไส้ใหญ่หมู ½ กิโลกรัม
- ปอดหมู 2 พวง
- หนังหมู ½ กิโลกรัม
- เต้าหู้ทอด 2 พวง
- หมูกรอบชิ้นยาว 2 ชิ้น
- พริกไทยขาวเป็นเม็ด 30 เม็ด
- แป้งข้าวเจ้า 10 ช้อนโต๊ะ
- ไข่ต้ม 20 ฟอง
- กระเทียมบุบ 6 หัว
- น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือป่น ½ ช้อนโต๊ะ
- ซ๊อิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
- ซิ๊วดำ ½ ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ก่อนอื่นให้เตรียมเส้นก๋วยจั๊บก่อน โดยการนำเส้นก๊วยจั๊บมาต้มกับน้ำซุปจนกระทั่งเส้นนิ่มได้ที่แล้วให้นำแป้งข้าวเจ้ามาละลายกับน้ำใส่ลงเคี่ยวในหม้อให้ข้นแต่อย่าให้เหนียว ปิดไฟพักไว้
2. จากนั้นหันมาทำน้ำพะโล้ด้วยการต้มน้ำ ใส่กระดูกหมูลงไปเคี่ยวสักครู่พอให้หวานน้ำต้มกระดูกหมู จากนั้นให้ใส่โป๊ยกั๊ก รากผักชี อบเชย พริกไทยเม็ด กระเทียมบุบพอแหลก เกลือ น้ำตาลปี๊บ ซีอิ๊วขาว และซีอิ๊วดำ ตามด้วยเครื่องในหมู ได้แก่ ตับหมู ปอดหมู หนังหมู และไข่ต้มลงไป เคี่ยวต่อไปด้วยไฟอ่อน รอจนตับหมูเริ่มสุกให้ตักขึ้นมาก่อน เนื่องจากตับจะเป็นส่วนที่สุกเร็วที่สุด นอกนั้นให้เคี่ยวต่อไปจนเปื่อยแล้วจึงค่อยตักขึ้นมาใส่ในภาชนะเตรียมขาย หรือจะนำใส่ในตะแกรงโลหะแขวนไว้บนหม้อต้มให้ได้รับความร้อนตลอดเวลาก็ได้เพียงเท่านี้ก็ได้ก๋วยจั๊บรสเด็ดแล้ว
สูตรต้มยำกุ้งน้ำข้น รสเด็ด (Tom Yum Kung)
สูตรต้มยำกุ้งน้ำข้น รสเด็ด (Tom Yum Kung)

สูตรต้มยำกุ้งน้ำข้น
สิ่งที่ต้องเตรียม
- กุ้งกุลาดำ 15 ตัว
- เห็ดโคนประมาณ 10-15 ดอก ใช้เห็ดนางฟ้าหรือเห็ดฟางแทนก็ได้
- มะนาวใช้ 3 ลูก บีบน้ำได้ประมาณ 3 ช้อนกินข้าวแบบสั้น
- พริกขี้หนูเม็ดเล็กใช้ 10 เม็ด
- หัวหอมแดง 3-4 หัว
- ตะไคร้ใช้ 2-3 ต้นไม่ใหญ่
- ข่าแก่หั่นใช้ 5 แว่น
- ใบมะกรูด 4-5 ใบ
- รากผักชี 2-3 ต้น (ใครจะเพิ่มผักชีฝรั่งก็ใส่ได้ตามชอบใจ)
- น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลาอย่างดี 2-3 ช้อนโต๊ะ (ต้องชิมรสประกอบ)
- น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
- นมข้นไม่หวาน (ใช้คาร์เนชั่น) หรือใช้นมสดรสจืดยิ่งดีเลย 1 ถ้วย
- น้ำซุป ถ้าไม่มี ใช้น้ำเปล่าแล้วใช้รสดีปรุงรสแทน
- นำตะไคร้มาทุบแบบหยาบ และหั่นประมาณ 1 นิ้ว ต่อด้วยหั่นข่า 1 แง่งให้เป็นแว่นๆ เพื่อให้ได้ประมาณ 5-7 แว่น ไม่ต้องหนามาก เอาแบบพอดีๆ
- หั่นผักชีเป็นฝอยๆ และนำรากผักชีไปทุบพอหยาบ และทุบพริกขี้หนูอีก 10 เม็ดให้พอหยาบเช่นกัน
- หั่นมะเขือเทศลูกใหญ่โดยผ่าให้ได้ 4 ชิ้น จากนั้นก็หั่นเห็ดฟางแบบครึ่งและเห็ดนางฟ้าฉีกครึ่ง ใบมะกรูดนำมาฉีกครึ่งเป็น 4 ส่วน
- ปอกเปลือกกุ้งสดให้สะอาด ผ่าหลังและล้างน้ำให้สะอาด รวมทั้งผักทุกชนิดที่เราจะรับประทาน จำเป็นต้องล้างน้ำให้สะอาดก่อนหั่น
- เตรียมน้ำพริกเผาผสมนมสด โดยนำนมสดหรือน้ำข้นไม่หวาน 1 ถ้วยมาผสมกับ น้ำพริกเผา บี้ให้ตัวพริกเผาไม่ให้จับตัวเป็นก้อน
- นำหม้อต้มใส่น้ำเปล่า 1 ลิตรที่ได้เตรียมไว้ โดยเริ่มตั้งไฟด้วยไฟแรง หลังจากนั้นก็ใส่ตะไคร้ทุบและข่าที่หั่นเตรียมไว้ และใส่รากผักชีทุบลงไปพร้อมๆ กันเลย
- เมื่อน้ำเดือดแล้วให้ใส่เห็ดฟางและเห็ดนางฟ้าไปพร้อมๆ กับกุ้งสดรอจนน้ำเดือด
- พอน้ำเดือด ให้หรี่ไฟเป็นไฟเป็นแบบปานกลาง จากนั้นก็ใส่เครื่องปรุงรสที่เราได้เตรียมไว้แล้ว นั้นก็คือ น้ำปลา มะนาว คน 1 รอบ ตามด้วยน้ำพริกเผาผสมนมสด และคนให้เข้ากันอีกรอบ และเปิดไฟแรงอีกครั้ง
- นำมะเขือเทศและพริกขี้หนู และใบมะกรูดมาใส่ลงในหม้อ พอน้ำเดือดแล้วให้ปิดไฟทันที
- ยกลงมาเทใส่ถ้วย จากนั้นก็โรยหน้าด้วยผักชี ถือว่าเป็นอันเสร็จเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟแล้วล่ะอาจปรุงรสเพิ่มตามใจชอบ
- กุ้งจะใช้กุ้งตัวใหญ่หรือแบบตัวเล็กแกะเปลือกก็ได้ แล้วแต่ความชอบหรือสูตรของแต่ละร้าน (ดังเข่นรูปด้านล่าง)
- สำหรับร้านที่จะนำสูตรไปทำขายควรทำรสชาติให้กลมกล่อม ไม่เปรี้ยว ไม่หวานมันมากเกินไป ซึ่งเป็นรสที่คนทั่วไปชอบ
ขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต
สูตรข้าวผัดหมู และวิธีผัดข้าวให้อร่อย
สูตรข้าวผัดหมู และวิธีผัดข้าวให้อร่อย

เครื่องปรุง
- ข้าวสวย (ไม่แฉะ) ¾ ถ้วยตวง
- หมูสับ 50 กรัม
- หมูแฮมหั่นเป็นเส้นฝอย 1 แผ่น
- หมูยอหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ
- กระเทียมสับ 8 กลีบ
- แครอทหั่นเป็นเส้นฝอย 3 ช้อนโต๊ะ
- มะเขือเทศผ่าตามยาว 1 ลูก
- น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
- ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
- ซอสปรุงรสถั่วเหลือง 1 ช้อนชา
- มะนาว 1 ซีก
- แตงกวา ต้นหอม ผักชี พริกไทยป่น
วิธีทำ
1. เริ่มต้นด้วยการตั้งกระทะ ใส่น้ำมันลงไปพอเริ่มร้อนใส่กระเทียมสับลงไปเจียวให้เหลือง
2. จากนั้นจึงใส่หมูสับลงไปผัดพอสุกตามด้วยหมูแฮมและหมูยอลงไปผัด
3. เสร็จแล้วใส่ข้าวสวยลงผัดให้ส่วนผสมเข้ากันจึงใส่แครอทและมะเขือเทศลงไปผัด ปรุงด้วยซอสปรุงรส และซีอิ๊วขาวผัดให้เครื่องปรุงเข้ากัน จากนั้นใช้ตะหลิวดันข้าวผัดขึ้นไปอยู่ข้างๆกระทะ เว้นที่ก้นกระทะไว้ตอกไข่ใส่ลงไป ใช้ตะหลิวตีไข่ให้แตก จากนั้นตักข้าวที่อยู่ข้างกระทะกลบทับไข่ไว้ รอจนไข่สุกแล้วจึงช้อนกลับให้ไข่อยู่ด้านบน ใส่น้ำมันหอยลงไปผัดให้ส่วนผสมเข้ากันอีกครั้ง ปิดไฟ
4. ตักใส่จาน จัดเรียงแตงกวาและมะนาวไว้ข้างๆจานเสิร์ฟได้ทันที
เคล็ดลับวิธีทำข้าวผัดให้อร่อย
- สิ่งสำคัญ ข้าวสวยที่ใช้ผัดต้องไม่แฉะ นอกจากนี้ เมื่อข้าวสุกใหม่ร้อนๆ ควรเกลี่ยใส่ถาด ให้ข้าวเย็นก่อนจึงนำมาผัด ข้าวจะไม่เกาะตัวเป็นก้อน
- น้ำมันไม่ควรใส่มากเกินไป เพราะจะทำให้แฉะและเลี่ยน ไม่น่ากิน
- ต้องใช้ไฟกลางในการเจียวกระเทียมจนเหลือง ใส่เครื่องปรุงที่เป็นเนื้อสัตว์ผัดจนสุกก่อน จึงใส่ข้าวผัดให้ทั่ว ถ้าข้าวผัดชนิดใดมีส่วนผสมของไข่ต้องใส่ไข่ทีหลังข้าวพอผัดข้าวจนทั่วเกลี่ยข้าวไว้อีกด้าน หนึ่งต่อยไข่ใส่กลบข้าวบนไข่พอสุกจึงค่อยผัดไข่ ในขั้นตอนนี้ต้องผัดเร็วๆ ไข่จะเกาะเม็ดข้าวดี และไม่แฉะ เช่น ข้าวผัดปู ข้าวผัดทะเล ข้าวผัดกุ้ง ข้าวผัดหมู ในกรณีที่เป็นข้าวผัดที่นำน้ำพริกมาประยุกต์ คลุกน้ำพริกกับข้าวให้ทั่วก่อน จึงค่อยผัดทีหลังจะทำให้ส่วนผสมเข้ากันได้ดี
- “กระทะ” เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการทำข้าวผัดเลยทีเดียว กระทะเหล็กรับความร้อนได้เร็วและดี แต่ข้าวจะติดกระทะ ต้องผัดเร็วๆเหมาะสำหรับแม่ครัวที่ชำนาญในการผัดขัาว เพราะข้าวผัดที่ได้จะมีกลิ่นหอม ถ้าเป็นแม่ครัวมือใหม่ต้องใช้กระทะเทฟล่อน แต่กลิ่นหอมจะสู้ข้าวที่ผัดจากกระทะอะลูมิเนียม กระทะเหล็ก หรือกระทะเหล็กเคลือบไม่ได้ “ตะหลิว” ก็เช่นกันต้องเลือกด้ามที่ติดแน่น ทนความร้อน
- พวกผักต่างๆนั้น ควรหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าหรือชิ้นเล็กๆ จะช่วยทำให้ข้าวผัดอร่อยกว่าใส่ชิ้นใหญ่ เช่น หอมใหญ่ คะน้า แครอท มะเขือเทศ ต้มหอม หั่นชิ้นเล็ก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)